ข้ามไปเนื้อหา

พรรคริพับลิกัน (สหรัฐ)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พรรคริพับลิกัน
Republican Party
หัวหน้ารอนนา แมคแดเนียล (มิชิแกน)
ผู้นำในสภาผู้แทนราษฎรเควิน แมคคาร์ธี (เคนทักกี)
ผู้นำในวุฒิสภามิตช์ แมคคอนเนล (แคลิฟอร์เนีย)
ก่อตั้ง20 มีนาคม พ.ศ. 2397
ที่ทำการ310 เฟิร์สทสตรีท SE
วอชิงตัน ดี.ซี. 20003
สมาชิกภาพ  (ปี 2022)เพิ่มขึ้น 36,019,694[1]
อุดมการณ์
สี  แดง
วุฒิสภา
48 / 100[a]
สภาผู้แทนราษฎร
222 / 435
ผู้ว่าการรัฐ
26 / 50
ที่นั่งในสภาสูงระดับรัฐ
1,106 / 1,987
ที่นั่งในสภาล่างระดับรัฐ
2,943 / 5,413
เว็บไซต์
www.gop.com
สัญลักษณ์การเลือกตั้ง
การเมืองสหรัฐ
รายชื่อพรรคการเมือง
การเลือกตั้ง

พรรคริพับลิกัน (อังกฤษ: Republican Party) หรือ มีชื่อเล่นว่า แกรนด์โอลด์ปาร์ตี (Grand Old Party, อักษรย่อ: GOP) เป็นพรรคการเมืองอนุรักษนิยม ซึ่งเป็นหนึ่งในสองพรรคของสหรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (อีกพรรคหนึ่งคือ พรรคเดโมแครต) พรรคริพับลิกันถูกตั้งชื่อเพื่อสะท้อนคตินิยมทางการเมืองแบบสาธารณรัฐนิยม (republicanism) ซึ่งเป็นคตินิยมที่สำคัญในสมัยสงครามปฏิวัติอเมริกา พรรคนี้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1854 โดยแนวร่วมผสมระหว่าง นักเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านสถาบันทาส, นักปฏิรูปเศรษฐกิจ, สมาชิกเก่าของพรรคเนชันแนลริพับลิกัน, สมาชิกเก่าของพรรคแผ่นดินเสรี, และพรรควิก

พรรคริพับลิกันในยุคเริ่มแรก ยึดถือคตินิยมทางการเมืองแบบเสรีนิยมคลาสสิค โดยมีจุดยืนที่ปฏิเสธสถาบันทาส และสนับสนุนการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ภายใต้การนำของอับราฮัม ลินคอล์นและรัฐสภาพรรครีพับลิกัน พรรคสามารถนำประเทศทำลายสมาพันธรัฐอเมริการะหว่างสงครามกลางเมือง รักษาสหภาพและเลิกทาสได้สำเร็จ หลังจากนั้นพรรครีพับลิกันเป็นพรรคใหญ่สุดในการเมืองระดับชาติจนกระทั่ง ค.ศ. 1932 โดยหลังจาก ค.ศ. 1912 อดีตประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์และผู้สนับสนุนแยกตัวออกไปตั้งพรรคก้าวหน้า ทำให้อุดมการณ์พรรครีพับลิกันเปลี่ยนเป็นฝ่ายขวา พรรครีพับลิกันเสียเสียงข้างมากในรัฐสภาในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (ค.ศ. 1929–1940) ซึ่งโครงการสัญญาใหม่ที่ได้รับความนิยมสูงทำให้พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งเป็นส่วนใหญ่ในช่วงสามทศวรรษถัดมา หลังรัฐบัญญัติสิทธิพลเมือง ค.ศ. 1964 และรัฐบัญญัติสิทธิออกเสียง ค.ศ. 1965 ฐานเสียงหลักของพรรคก็เปลี่ยนไป โดยรัฐภาคใต้มักออกเสียงเลือกประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน[9] และหลังคำวินิจฉัยของศาลสูงสุดในคดีระหว่างโรกับเวด ค.ศ. 1973 พรรครีพับลิกันเพิ่มการคัดค้านการทำแท้งในแนวนโยบายของพรรคและทำให้ได้เสียงสนับสนุนจากพวกอีแวนเจลิคัล[10] พรรคยังสนับสนุนรัฐบาลขนาดเล็ก การผ่อนปรนระเบียบควบคุม ลดภาษี สิทธิปืน การจำกัดคนเข้าเมืองและคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย การจำกัดการทำแท้ง การจำกัดสหภาพแรงงาน และการเพิ่มงบรายจ่ายทางทหาร รวมทั้งยังสนับสนุนการค้าเสรีเพิ่มขึ้นนับแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20[11][12][13][14][15]

ในสมัยใหม่ ฐานประชากรศาสตร์ของพรรคเปลี่ยนไปยังชนชั้นแรงงาน ผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบท เพศชาย ชาวภาคใต้และอเมริกันผิวขาวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสเตียนอีแวนเจลิคัลผิวขาว[16][17] ในปีหลัง ๆ พรรครีพับลิกันมีสมาชิกเป็นชนชั้นแรงงานผิวขาว ฺ��ิสแปนิกและยิวออร์โธด็อกซ์มากขึ้น ขณะที่เสียการสนับสนุนจากผิวขาวชนชั้นสูงและจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย[18][19][20][21] ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนล่าสุด คือ ดอนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 ระหว่างปี 2017 ถึง 2021 จนถึงปัจจุบันมีประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันแล้ว 19 คนซึ่งมากกว่าพรรคการเมืองพรรคใดในสหรัฐ ในปี 2022 พรรครีพับลิกันมีผู้ว่าการรัฐ 28 คน ครองสภานิติบัญญัติระดับรัฐ 30 แห่ง และครองทั้งสภาสูง สภาล่างและผู้ว่าการรัฐ (trifecta) ใน 23 รัฐ ผู้พิพากษาศาลสูงสุด 6 คนจาก 9 คนมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดีพรรครีพับลิกัน

ประวัติ

[แก้]

พรรครีพับบลีกันตั้งขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น เมื่อค.ศ. 1854 เป็นแยกตัวของนักการเมืองผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทาส ออกมาจากพรรควิก (Whig Party) ชื่อพรรครีพับบลีกันเป็นการตั้งชื่อเลียนแบบพรรครีพับบลีกันเก่าดั้งเดิมของสหรัฐซึ่งก่อตั้งโดยประธานาธิบดีโธมัส เจฟเฟอร์สัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีค.ศ. 1860 พรรครีพับบลีกันภายใต้การนำของอับราฮัม ลินคอล์น ได้รับชัยชนะท่วมท้นในมลรัฐทางภาคเหนือและได้เป็นประธานาธิบดี เป็นเหตุให้รัฐทางใต้ซึ่งไม่พอใจนโยบายเลิกทาสของลินคอล์นจึงแยกตัวออกไป นำไปสู่สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War) สงครามสิ้นสุดลงฝ่ายเหนือได้รับชัยชนะ ทำให้พรรครีพับบลิกันซึ่งชูนโยบายเลิกทาสประสบความสำเร็จและมีชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณเจ็ดสิบปี ตั้งแต่ค.ศ. 1860 ถึง ค.ศ. 1933 (ยกเว้นในสมัยของประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน) ครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามาเกือบจะโดยตลอด เป็นแหล่งที่มาของประธานาธิบดีสหรัฐในสมัยแห่งการฟื้นฟู (Reconstruction) และสมัยแห่งความก้าวหน้า (Progressive Era) ที่สำคัญได้แก่ ยูลิสซิส เอส. แกรนต์ และธีโอดอร์ โรสเวลต์

ในช่วงแรกนั้นนโยบายของพรรครีพับบลีกันมีความเป็นเสรีนิยม ส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี การขยายอาณานิคม และการส่งเสริมสิทธิของชาวแอฟริกันอเมริกัน จนกระทั่งค.ศ. 1933 นายแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ แห่งพรรคเดโมแครต ชูนโยบายสังคมเสรีนิยมทำให้พรรครีพับลีกันมีความนิยมที่เสื่อมลงและต้องสูญเสียอำนาจในการบริหารประเทศ รวมทั้งสูญเสียเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาให้แก่พรรคเดโมแครต ทำให้พรรครีพับบลีกันเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านเสียส่วนใหญ่ในช่วงเวลาประมาณเจ็ดสิบปี ตั้งแต่ค.ศ. 1933 ถึง ค.ศ. 1994

ในช่วงสงครามเย็น แม้ว่าในรัฐสภาจะมีพรรคเดโมแครตกุมเสียงข้างมากอยู่ แต่ก็มีประธานาธิบดีจากพรรครีพับบลีกันได้รับเลือกตั้งถึงสามคน ได้แก่ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ผู้นำสหรัฐเข้าสู่สงครามเกาหลี ริชาร์ด นิกสัน ผู้มีนโยบายผ่อนปรนกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและถอนสหรัฐออกจากสงครามเวียดนาม และโรนัลด์ เรแกน ผู้นำสหรัฐในการยุติสงครามเย็น

ในค.ศ. 1994 ในสมัยของประธานาธิบดีบิล คลินตัน พรรครีพับบลีกันได้เสียงข้างมากกลับคืนมาทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดสิบปี ค.ศ. 2000 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุชจากพรรครีพับบลีกันชนะการเลือกตั้ง

จุดยืนทางการเมือง

[แก้]

นโยบายเศรษฐกิจ

[แก้]
แคลวิน คูลิดจ์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 30 (พ.ศ. 2466–2472)

ภาษี

[แก้]

สวัสดิการ

[แก้]

พรรคริพับลิเชื่อว่าบุคคลควรรับผิดชอบต่อสถานการณ์ของตนเอง พวกเขายังเชื่อว่าภาคเอกชนมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือคนยากจนด้วยการกุศลมากกว่าที่รัฐบาลทำผ่านโครงการสวัสดิการ และโครงการช่วยเหลือทางสังคมมักทำให้รัฐบาลต้องพึ่งพาอาศัยกัน[22]

สหภาพแรงงาน

[แก้]

ค่าจ้างขั้นต่ำ

[แก้]

พรรคริพับลิกันส่วนใหญ่คัดค้านการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำโดยเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นดังกล่าวส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยบังคับให้พวกเขาเลิกจ้างและจ้างงานจากภายนอกในขณะที่ส่งต่อต้นทุนให้กับผู้บริโภค[23]

นโยบายสิ่งแวดล้อม

[แก้]

การรักษาสุขภาพ

[แก้]

นโยบายการต่างประเทศ

[แก้]

สงครามต่อต้านการก่อการร้าย

[แก้]

ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ

[แก้]

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

[แก้]

นโยบายสังคม

[แก้]

การทำแท้งและการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน

[แก้]

การยืนยันการกระทำ

[แก้]

ความเป็นเจ้าของปืน

[แก้]

ยาถูกกฎหมาย

[แก้]

การตรวจคนเข้าเมือง

[แก้]

ประเด็นกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ

[แก้]

ข้อกำหนดในการลงคะแนนเสียง

[แก้]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Winger, Richard. "December 2022 Ballot Access News Print Edition". Ballot Access News. สืบค้นเมื่อ December 31, 2022.
  2. Paul Gottfried, Conservatism in America: Making Sense of the American Right, p. 9, "Postwar conservatives set about creating their own synthesis of free-market capitalism, Christian morality, and the global struggle against Communism." (2009); Gottfried, Theologies and moral concern (1995) p. 12.
  3. Davis, Susan (August 23, 2019). "Meltdown On Main Street: Inside The Breakdown Of The GOP's Moderate Wing". NPR (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 17 June 2022.
  4. Haberman, Clyde (October 28, 2018). "Religion and Right-Wing Politics: How Evangelicals Reshaped Elections". สืบค้นเมื่อ October 14, 2021 – โดยทาง NYTimes.com.
  5. Cohn, Nate (May 5, 2015). "Mike Huckabee and the Continuing Influence of Evangelicals". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-05-06. สืบค้นเมื่อ October 14, 2021 – โดยทาง NYTimes.com.
  6. 6.0 6.1 Miller, William J. (2013). The 2012 Nomination and the Future of the Republican Party. Lexington Books. p. 39.
  7. Cassidy, John (February 29, 2016). "Donald Trump is Transforming the G.O.P. Into a Populist, Nativist Party". The New Yorker. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 4, 2016. สืบค้นเมื่อ July 22, 2016.
  8. Gould, J.J. (July 2, 2016). "Why Is Populism Winning on the American Right?". The Atlantic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 12, 2017. สืบค้นเมื่อ March 11, 2017.
  9. Zingher, Joshua N. (2018). "Polarization, Demographic Change, and White Flight from the Democratic Party". The Journal of Politics. 80 (3): 860–72. doi:10.1086/696994. ISSN 0022-3816. S2CID 158351108.
  10. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ The Great Divide: Religious and Cultural Conflict in American Party Politics2
  11. Reich, Gary M. (2021). The Politics of Immigration Across the United States: Every State a Border State?. Routledge. ISBN 978-1-000-33580-4 – โดยทาง Google Books.
  12. Hajnal, Zoltan (January 4, 2021). "Immigration & the Origins of White Backlash". Daedalus. 150 (2): 23–39. doi:10.1162/daed_a_01844. ISSN 0011-5266.
  13. Baker, Paula; Critchlow, Donald T. (2020). The Oxford Handbook of American Political History. Oxford University Press. p. 387. ISBN 978-0-19-062869-7 – โดยทาง Google Books. Contemporary debate is fueled on one side by immigration restrictionists, led by President Donald Trump and other elected republicans, whose rhetorical and policy assaults on undocumented Latin American immigrants, Muslim refugees, and family-based immigration energized their conservative base.
  14. Jacobson, Gary C.; Liu, Huchen (n.d.). "Dealing with Disruption: Congressional Republicans' Responses to Donald Trump's Behavior and Agenda". Presidential Studies Quarterly (ตีพิมพ์ December 15, 2019). 50 (1): 4–29. doi:10.1111/psq.12630. ISSN 1741-5705. S2CID 213255600.
  15. Qamar, Zoha (2022-08-04). "When Republicans Talk About Immigration, They Don't Just Mean Illegal Immigration". FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2022-08-14.
  16. Cohn, Nate (2022-07-13). "Poll Shows Tight Race for Control of Congress as Class Divide Widens". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2022-08-27. But the cofluence of economic problems and resurgent cultural issues has helped turn the emerging class divide in the Democratic coalition into a chasm, as Republicans appear to be making new inroads among nonwhite and working class voters... For the first time in a Times/Siena national survey, Democrats had a larger share of support among white college graduates than among nonwhite voters - a striking indication of the shifting balance of political energy...
  17. Multiple sources:
  18. "In voting, Orthodox Jews are looking more like evangelicals". Religion News Service (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2021-02-19. สืบค้นเมื่อ 2022-08-02.
  19. Haberman, Clyde (2020-07-01). "The Day the White Working Class Turned Republican". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2022-08-02.
  20. Kraushaar, Josh (2022-07-14). "The Great American Realignment". Axios (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-08-02. Shifts in the demographics of the two parties' supporters — taking place before our eyes — are arguably the biggest political story of our time. Republicans are becoming more working class and a little more multiracial. Democrats are becoming more elite and a little more white...
  21. Kraushaar, Josh (2022-07-13). "The Democratic electorate's seismic shift". Axios (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-08-02. Democrats are becoming the party of upscale voters concerned more about issues like gun control and abortion rights. Republicans are quietly building a multiracial coalition of working-class voters, with inflation as an accelerant... In the Times/Siena poll, Ds hold a 20-point advantage over Rs among white college-educated voters — but are statistically tied among Hispanics.
  22. Konczal, Mike (March 24, 2014). "The Conservative Myth of a Social Safety Net Built on Charity". The Atlantic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 3, 2022. สืบค้นเมื่อ December 30, 2021.
  23. "House Passes Bill to Raise Minimum Wage to $15, a Victory for Liberals". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-07-18. สืบค้นเมื่อ March 12, 2020.


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/> ที่สอดคล้องกัน